วันที่ 1:
นักลงทุนวางเงินเพื่อเป็น
หลักประกันขั้นต้น
500,000 บาท
กับโบรกเกอร์อนุพันธ์ |
- |
500,000 บาท |
หลักประกันที่กำหนดต่อสัญญา SET50IF ได้แก่ หลักประกันขั้นต้น 50,000 บาท หลักประกันขั้นต่ำ 35,000 บาท โดยกำหนด 1 จุดของดัชนีเท่ากับ 1,000 บาท |
วันที่ 2:
นักลงทุนซื้อ SET50IF 10 สัญญา ที่ราคา 495 จุด (ณ
สิ้นวัน ราคาปิดเท่ากับ 500 จุด) |
500.00 |
550,000 บาท |
ได้กำไร 50,000 บาท เพิ่มในบัญชี
(500 - 495) x 1,000 x 10 = 50,000 |
วันที่ 3:
ราคาสัญญา SET50IF ลดลง |
492.00 |
470,000 บาท |
ขาดทุน 80,000 บาท
(492 - 500) x 1,000 x 10 = 80,000
ยอดเงินคงเหลือยังคงสูงกว่าหลักประกัน
ขั้นต่ำ 350,000 บาท ของ 10 สัญญา
(35,000 x 10 = 350,000)
|
วันที่ 4:
ราคาสัญญา SET50IF ลดลง |
479.00 |
340,000 บาท |
ขาดทุน 130,000 บาท ต้องเรียกหลักประกันเพิ่ม เนื่องจากยอดเงินคงเหลือต่ำกว่าหลักประกันขั้นต่ำ นักลงทุนต้องเลือกปฏิบัติข้อใด ข้อหนึ่ง ดังนี้:
ก) |
เพิ่มหลักประกันในบัญชีให้เท่ากับหลักประกันเริ่มต้นที่ 500,000 บาท (50,000 บาทต่อสัญญา) หรือ |
ข) |
ลดจำนวนสัญญาที่เปิดฐานะให้เหลือ 6 สัญญา |
|
วันที่ 5:
นักลงทุนเลือกที่จะเพิ่มหลักประกันจำนวน 160,000 บาท โดยราคาที่ใช้ชำระราคาไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน |
479.00 |
500,000 บาท |
เพิ่มยอดเงินคงเหลือในบัญชีเท่ากับ
หลักประกันขั้นต้น |
วันที่ 6:
ราคาสัญญา SET50IF ปรับตัวขึ้น |
483.00 |
540,000 บาท |
กำไร 40,000 บาทบวกเพิ่มในบัญชี
(483 - 479) x 1,000 x 10 = 40,000 |
วันที่ 7:
นักลงทุนปิดฐานะสัญญาทั้งหมด โดยการขาย 10 สัญญา
ที่ราคา 489 จุด |
- |
600,000 บาท |
กำไร 60,000 บาท บวกเข้าในบัญชี
(489 - 483) x 1,000 x 10 = 60,000 |