09:31:49 AM
  หัวข้อข่าว : TOC :คำอธิบายและการวิเคราะห์ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2548

  
บริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย
คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ
ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 1 ปี 2548

1. บทสรุปผู้บริหาร

สำหรับในไตรมาส 1 ปี 2548 บริษัท ไทยโอเลฟินส์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) และบริษัทย่อย
มีกำไรสุทธิรวม 2,496 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,757 ล้านบาทหรือ 238% จากไตรมาส 1 ปี 2547
(ไตรมาส 1 ปี 2547 มีกำไรสุทธิ 739 ล้านบาท) โดยกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานของไตรมาส 1 ปี 2548
เท่ากับ 3.04 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 2.14 บาทต่อหุ้นหรือ 238% จากปี 2546 ที่มีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ
0.90 บาทต่อหุ้น จากผลกำไรของไตรมาส 1 ปี 2548 ส่งผลให้บริษัทฯมีกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรสิ้นสุด
ไตรมาส 1 ปี 2548 เท่ากับ 8,667 ล้านบาท

กำไรสุทธิและกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานในไตรมาส 1 ปี 2548 มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากถึง 238% และ
238% ตามลำดับจากไตรมาส 1 ปี 2547 โดยมีสาเหตุหลักโดยสรุปได้ดังนี้

- กำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และต้นทุนวัตถุดิบมีการปรับตัวสูงขึ้นมาก (High Product to
  Feed Margin) โดยราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนและโพรพิลีนถัวเฉลี่ยมาบตาพุดเพิ่มขึ้น 35% และ 49% ตามลำดับ
  จากไตรมาส 1 ปี 2547 ทั้งนี้จากความต้องการในผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัว
  ทางเศรษฐกิจของไทยและของโลก ในขณะที่กำลังการผลิตมีจำกัด ทำให้ตลาดยังคงอยู่ในสภาพตึงตัวส่งผล
  ให้ราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าราคาวัตถุดิบแนฟทาจะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
  แต่การเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์ยังปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า ทำให้มีอัตรากำไรสูงขึ้น ประกอบกับบริษัทมี
  ความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบ (Feedstock Flexibility) ได้ทั้งแนฟทาและก๊าซทำให้ต้นทุนวัตถุดิบ
  โดยรวมถูกลงและทำให้เกิดผลกำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น
  โดยกำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และต้นทุนวัตถุดิบในไตรมาส 1 ปี 2548 เท่ากับ 3,485 ล้านบาท
  เพิ่มขึ้น 2,022 ล้านบาทหรือ 138% จากไตรมาส 1 ปี 2547 ที่มีจำนวนเท่ากับ 1,463 ล้านบาท

- กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น จากโรงโอเลฟินส์ 2 ที่มีกำลังการผลิตเอทิลีน (Ethylene Nameplate Capacity)
  300,000 ตันต่อปี คิดเป็นกำลังการผลิตเอทิลีน (Ethylene Nameplate Capacity) ที่เพิ่มขึ้น 78% จาก
  ปี 2547 ที่มีกำลังการผลิตเอทิลีน (Ethylene Nameplate Capacity) จำนวน 385,000 ตันต่อปี
  ซึ่งโรงโอเลฟินส์ 2 ได้เริ่มดำเนินการผลิตเอทิลีนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2547 ที่ผ่านมาโดยมีอัตราการใช้กำลัง
  การผลิต (Capacity Utilization) ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆนับจากวันที่เริ่มดำเนินการผลิต ทั้งนี้ในไตรมาส 1
  ปี 2548 โรงโอเลฟินส์ 2 มีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 75.6% และคาดว่าจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิต
  ใกล้เคียง 100% ได้ในไตรมาส 2 ปี 2548

- บริษัทฯมีภาระจ่ายดอกเบี้ยลดลงจากการออกหุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อชำระคืนเงินกู้เดิมที่มีอัตราดอกเบี้ย
  สูงกว่าและการชำระคืนเงินต้นที่ถึงกำหนดชำระ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงจาก 76.1 ล้านบาทใน
  ไตรมาส 1 ปี 2547 เป็น 68.8 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2548

บริษัทฯมีนโยบายในการขยายการลงทุนตามแผนกลยุทธ์หลักของบริษัทดังนี้

1.1 สร้างความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) โดยดำเนินโครงการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์

    บริษัทฯมีกลยุทธ์ในการลดต้นทุนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้มีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นและ
    เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทฯ โดยบริษัทฯได้ดำเนินโครงการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์ที่ใช้เงินลงทุน
    ต่อตันโอเลฟินส์ต่ำกว่าการสร้างโรงงานใหม่ประมาณครึ่งหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยโครงการโรงโอเลฟินส์ 2
    (Expansion Project) ที่ได้เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์แล้วในปัจจุบัน โครงการขยายกำลังการผลิต
    โรงโอเลฟินส์ 1 (Plant I Debottleneck) และโครงการขยายกำลังการผลิตโรงโอเลฟินส์ 2
    (Plant II Debottleneck) ที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3 ปี 2549 และ
    ไตรมาส 2 ปี 2551 ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 3 โครงการจะทำให้บริษัทฯมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์รวมเพิ่มขึ้นจาก
    ปัจจุบันที่ 875,000 ตันต่อปีเป็น 1,275,000 ตันต่อปีซึ่งเป็นกำลังการผลิตในระดับสากลและก่อให้เกิด
    ประโยชน์ในด้าน Economies of Scale

1.2 การขยายธุรกิจสู่ธุรกิจปลายน้ำ (Downstream Business)

    บริษัทฯมีแผนที่จะขยายการลงทุนสู่ธุรกิจปลายน้ำที่มีวงจรราคาผลิตภัณฑ์แตกต่างกันเพื่อกระจายความเสี่ยง
    เพิ่มระดับรายได้และผลกำไรของบริษัทในระยะยาว ซึ่งโครงการลงทุนที่สำคัญมีดังนี้

    - บริษัทฯได้เข้าซื้อหุ้น 50% ของบริษัท บางกอกโพลีเอททีลีน  จำกัด (มหาชน) ที่มีกำลังการผลิต
      HDPE 200,000 ตันต่อปีในปี 2547 และจะขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 250,000 ตันต่อปีในปี
      2548

    - โครงการ อีโอ/อีจี 1 และโครงการ อีโอ/อีจี 2 ที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้
      ในไตรมาสที่ 2 ปี 2549 และไตรมาสที่ 2 ปี 2551 ตามลำดับ

    - โครงการผลิตสาร Ethoxylates, โครงการผลิตสาร Ethanolamines, โครงการผลิตสาร
      Choline Chloride  ที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4 ปี 2549,
      ไตรมาส 1 ปี 2550, ไตรมาส 1 ปี 2550 ตามลำดับ

    - บริษัทฯจะซื้อหุ้นจาก บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) (VNT) ตามเงื่อนไขของ Warrant
      คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ภายหลังการเพิ่มทุนของ VNT ภายในปี 2548 นี้  ปัจจุบัน VNT
      มีกำลังการผลิต VCM 200,000 ตันต่อปีและ PVC 210,000 ตันต่อปีในปัจจุบันและจะขยาย
      กำลังการผลิต VCM เพิ่มขึ้นอีก 200,000 ตันต่อปีในปี 2549

    - โครงการร่วมทุนผลิตฟีนอล ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2 ปี 2550

    - โครงการร่วมทุนผลิตสาธารณูปโภค

    ซึ่งทุกโครงการได้มีการดำเนินการเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้


2. ผลการดำเนินงาน
                                                                 หน่วย : ล้านบาท
                               ไตรมาส 1-2547    ไตรมาส 1-2548   ผลต่าง     %
ยอดขาย                               4,264       7,946          3,682     86%
ต้นทุนผลิตภัณฑ์                           (2,801)     (4,461)        1,660     59%
Product to Feed Margin               1,463       3,485          2,022     138%
ค่าใช้จ่ายในการผลิต                      (314)       (534)          220       70%
รายได้อื่น ๆ                            20          79             58        290%
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร              (91)        (140)          49        54%
EBITDA                               1,078       2,890          1,811     168%
Depreciation & Amortization          (233)       (315)          81        35%
EBIT                                 845         2,575          1,730     205%
ค่าใช้จ่ายด้านการเงิน                     (81)        (104)          22        27%
ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย   0           (3)            (3)       ----
กำไร/(ขาดทุน)จากอัตราแลกเปลี่ยน          (24)        27             52        ----
กำไรสุทธิ                              739         2,496          1,757     238%
กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน (บาทต่อหุ้น)            0.90        3.04           2.14      238%

      ยอดขายของบริษัทฯในไตรมาส 1 ปี 2548 มีจำนวน 7,946 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี
2547 จำนวน 3,682 ล้านบาทหรือ 86% มีปริมาณการจำหน่าย Olefins และ By- Products จำนวน
252,483 ตันเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 33% เนื่องมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงโอเลฟินส์ 2
ทำให้ได้ปริมาณผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีการหยุดดำเนินการผลิตตามแผนงานของโรงโอเลฟินส์ 1 เพื่อทำ
การซ่อมบำรุงตามกำหนด จำนวน 9 วันในไตรมาส 1 ปี 2548 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ราคาผลิตภัณฑ์ Olefins ในไตร
มาส 1 ปี 2548 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนโดยที่ราคาผลิตภัณฑ์เอทิลีนถัวเฉลี่ยมาบตาพุดเพิ่มขึ้น 35% และโพรพิลีน
ถัวเฉลี่ยมาบตาพุดเพิ่มขึ้น 49% ในขณะที่ต้นทุนผลิตภัณฑ์ในไตรมาส 1 ปี 2548 มีจำนวน 4,461 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 1,660 ล้านบาทหรือ 59% จากราคาวัตถุดิบที่มีการปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ปริมาณการใช้วัตถุดิบเพิ่มขึ้น
37% จาก 234,979 ตันในไตรมาส 1 ปี 2547 เป็น 321,877 ตันในไตรมาส 1 ปี 2548

      จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และความยืดหยุ่นในการเลือกใช้
วัตถุดิบของบริษัทฯที่เป็นได้ทั้งแนฟทาและก๊าซ ทำให้ Product to Feed Margin ในไตรมาส 1 ปี 2548
เพิ่มขึ้น 2,022 ล้านบาทหรือ 138% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

      EBITDA ในไตรมาส 1 ปี 2548 เท่ากับ 2,890 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
1,811 ล้านบาทหรือ 168% เนื่องจาก Product to Feed Margin ที่สูงขึ้นมากและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
จากโรงโอเลฟินส์ 2   โดยกำลังการผลิตเอทิลีนเพิ่มขึ้นจาก 385,000 ตันต่อปี เป็น 685,000 ตันต่อปี

      ในไตรมาส 1 ปี 2548 มีค่าใช้จ่ายในการผลิตจำนวน 534 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 220 ล้านบาทหรือ
70% จากไตรมาส 1 ของปีก่อน ทั้งนี้เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย Utility ต่างๆ เช่น ค่า Steam
ที่ใช้สูงขึ้นในระหว่างการหยุดผลิตเพื่อซ่อมบำรุง ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในไตรมาส 1 ปี 2548
เท่ากับ 140 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 49 ล้านบาทหรือ 54% จากไตรมาส 1 ของปีก่อนเนื่องจากค่าใช้จ่ายทางการ
ตลาดที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายการลงทุนในโครงการต่างๆของบริษัทฯในอนาคต เพื่อเพิ่มยอดขายและ
กำไร รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของบริษัทย่อย
 
        EBIT ในไตรมาส 1 ปี 2548 เท่ากับ 2,575 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1,730 ล้านบาทหรือ 205% เมื่อ
เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2547 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของ EBITDA

      ดอกเบี้ยจ่ายในไตรมาส 1 ปี 2548 เท่ากับ 68.8 ล้านบาทลดลง 7.3 ล้านบาทหรือ 9.6% เมื่อเทียบ
กับไตรมาส 1 ปี 2547 ที่มีดอกเบี้ยจ่ายเท่ากับ 76.1 ล้านบาท เนื่องจากการออกหุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ
จำนวน 10,000 ล้านบาทในปลายปี 2546 เพื่อชำระคืนเงินกู้เดิมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าและการชำระคืนเงิน
ต้นที่ถึงกำหนดชำระ เป็นผลให้มีภาระจ่ายดอกเบี้ยลดลง

        ในไตรมาส 1 ปี 2548 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 2,496 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 1,757 ล้านบาทหรือ 238%
จากไตรมาส 1 ปี 2547 ซึ่งมาจากการเพิ่มขึ้นของ Product to Feed Margin ซึ่งเป็นผลมาจากราคาขาย
ผลิตภัณฑ์ Olefins ที่สูงขึ้นและความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบ (Feedstock Flexibility) ของบริษัทฯ
ที่เป็นได้ทั้งแนฟทาและก๊าซทำให้ต้นทุนวัตถุดิบโดยรวมถูกลง ประกอบกับปริมาณขายผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
จากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากโรงโอเลฟินส์ 2 ทำให้ EBITDA และ EBIT สูงขึ้น รวมทั้งการลดลงของ
ดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดจากการ Refinance โดยการออกหุ้นกู้


3. การขายผลิตภัณฑ์
   ในไตรมาส 1 ปี 2548 บริษัทฯขายผลิตภัณฑ์หลักคือเอทิลีนและโพรพิลีน (ซึ่งรวมเรียกว่าโอเลฟินส์)
จำนวน 140,314 ตันและ 51,819 ตันตามลำดับ เพิ่มขึ้น 57,105 ตันหรือ 68.6% และเพิ่มขึ้น 2,840
ตันหรือ 5.8% ตามลำดับเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2547 ที่มียอดขายผลิตภัณฑ์เอทิลีนและโพรพิลีนอยู่ที่
83,209 ตันและ 48,979 ตันตามลำดับ สาเหตุของการเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากปริมาณผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นจาก
กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของโรงโอเลฟินส์ 2 ถึงแม้ว่าจะมีการหยุดดำเนินการผลิตตามแผนงานของโรงโอ
เลฟินส์ 1 เพื่อทำการซ่อมบำรุงตามกำหนด จำนวน 9 วันในไตรมาส 1 ปี 2548 ที่ผ่านมาก็ตาม

4. ประสิทธิภาพการผลิต
   ในไตรมาส 1 ปี 2548 บริษัทฯสามารถผลิตเอทิลีนและโพรพิลีนได้ 143,523 ตันและ 51,843 ตัน
ตามลำดับ  เพิ่มขึ้น 61,561 ตันหรือ 75.1% และเพิ่มขึ้น 2,613 ตันหรือ 5.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1
ปี 2547 ที่มีการผลิตเอทิลีนและโพรพิลีนอยู่ที่ 81,962 ตันและ 49,230 ตันตามลำดับ สาเหตุที่กำลังการผลิต
โอเลฟินส์รวมเพิ่มขึ้นถึงแม้ว่าจะมีการหยุดดำเนินการผลิตตามแผนงานของโรงโอเลฟินส์ 1 เพื่อทำการซ่อม
บำรุงตามกำหนด จำนวน 9 วันในไตรมาส 1 ปี 2548 ที่ผ่านมา มีสาเหตุมาจากกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจาก
โรงโอเลฟินส์ 2 ที่มีกำลังการผลิตเอทิลีน (Ethylene Nameplate Capacity) 300,000 ตันต่อปี ซึ่ง
ได้เริ่มดำเนินการผลิตเอทิลีนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2547 ที่ผ่านมาโดยมีอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity
Utilization) ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆนับจากวันที่เริ่มดำเนินการผลิต ทั้งนี้ในไตรมาส 1 ปี 2548 โรงโอเลฟินส์ 2
มีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 75.6% และคาดว่าจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิตใกล้เคียง 100% ได้ใน
ไตรมาส 2 ปี 2548 ทั้งนี้ดัชนีวัดประสิทธิภาพการผลิตที่สำคัญของโรงงานสามารถสรุปได้ดังตารางข้างล่างนี้
 
                         ไตรมาส 1-2547   ไตรมาส 1-2548  การเปลี่ยนแปลง (%)
อัตราการใช้กำลังการผลิต
(Capacity Utilization)
โรงโอเลฟินส์ 1                 91.76 %           98.34 %             6.58 %
โรงโอเลฟินส์ 2                   -               75.63 %               -
โรงโอเลฟินส์ 1 & 2                -               90.55 %               -
 
ความสามารถในการผลิตอย่างต่อเนื่อง
(Plant Reliability)
โรงโอเลฟินส์ 1                 100.00 %          96.12 %            (3.88 %)
โรงโอเลฟินส์ 2                  -                78.42 %               -
โรงโอเลฟินส์ 1 & 2               -                89.64 %               -

อัตราการผลิตโอเลฟินส์ต่อวัตถุดิบ
(Olefins Yield)               55.83 %          60.70 %             4.87 %
การสูญเสียจากการผลิต
(Loss)                        1.88 %           2.02 %             0.14 %
การใช้พลังงานต่อหน่วยการผลิตโอเลฟินส์
(Energy Index, Kcal/Kg Olefins)  5,212          5,531             6.12 %


5. ข้อมูลทางการเงิน
   ฐานะการเงินของบริษัทและบริษัทย่อย ณ.วันที่ 31 มีนาคม 2548 มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 40,180
ล้านบาท มีหนี้สินรวม 11,933 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 28,247 ล้านบาท โดยส่วนของ กำไร
สะสม ที่ยังไม่ได้จัดสรร ในส่วนของผู้ถือหุ้นรวมเป็น 8,667 ล้านบาท
   ทั้งนี้อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ในไตรมาส 1 ปี 2548 เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2547 สามารถ
แสดงในตารางข้างล่างนี้


                                        หน่วย ไตรมาส 1 ปี 2547 ไตรมาส 1 ปี 2548
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน
(Debt to Equity Ratio)               เท่า      0.48         0.41
อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน
(Interest Bearing Debt to Equity Ratio) เท่า      0.36         0.30
อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน
(Net Debt to Equity Ratio)               เท่า      0.25         0.18
อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้
(Debt Service Coverage Ratio, DSCR)     เท่า      1.30         2.81
อัตราส่วนหนี้สินต่อ EBITDA
(Debt to EBITDA ratio)                  เท่า      1.91         0.54


6. รายงานความคืบหน้าโครงการลงทุน
6.1 โครงการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์
    6.1.1 โครงการโรงโอเลฟินส์ 2 (Expansion Project)
    บริษัทฯได้เริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์แล้วตั้งแต่เดือนธันวาคม 2547 ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่วางไว้คือ
ภายในเดือนมกราคม 2548 ซึ่งจากการดำเนินการผลิตของโรงโอเลฟินส์ 2 ทำให้กำลังการผลิตเอทิลีน
(Ethylene Nameplate Capacity) ในปัจจุบันมีจำนวนเท่ากับ 685,000 ตันต่อปีเพิ่มขึ้น 300,000 ตันต่อปี
หรือ 78% จากปี 2547 ที่มีกำลังการผลิตเอทิลีน (Ethylene Nameplate Capacity) จำนวน 385,000
ตันต่อปี ทั้งนี้อัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization) ของโรงโอเลฟินส์ 2 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
นับจากวันที่เริ่มดำเนินการผลิต โดยในไตรมาส 1 ปี 2548 โรงโอเลฟินส์ 2 มีอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่
75.6% และคาดว่าจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิตใกล้เคียง 100% ได้ในไตรมาส 2 ปี 2548

    6.1.2 โครงการขยายกำลังการผลิตโรงโอเลฟินส์ 1 (Plant I Debottleneck Project)
    บริษัทฯได้ดำเนินการโครงการนี้แล้วเสร็จล่วงหน้าบางส่วน อันจะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตโพรพิลีน
(Nameplate Capacity) เพิ่มขึ้นอีก 60,000 ตันต่อปีในครึ่งปีหลังของ 2548 ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิต
โพรพิลีนรวม (Nameplate Capacity) เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันจำนวน 190,000 ตันต่อปี เป็น 250,000 ตัน
ต่อปีในขั้นนี้ และในที่สุดเมื่อดำเนินโครงการขยายกำลังการผลิตโรงโอเลฟินส์ 1 (Plant I Debottleneck)
แล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 2549 จะมีกำลังการผลิตเอทิลีนและโพรพิลีนเพิ่มขึ้น 130,000 ตันต่อปีและ
120,000 ตันต่อปีตามลำดับ ซึ่งจะส่งผลให้กำลังการผลิตเอทิลีนและโพรพิลีนเพิ่มขึ้นเป็น 815,000 ตันต่อปี
และ 310,000 ตันต่อปี ทั้งนี้ส่วนที่เหลือของโครงการได้ดำเนินงานเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยคาดว่า
จะแล้วเสร็จสมบูรณ์และจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 3 ปี 2549 ตามกำหนด

    6.1.3 โครงการขยายกำลังการผลิตโรงโอเลฟินส์ 2 (Plant II Debottleneck Project)
    บริษัทฯได้ดำเนินการอยู่ในขั้นตอนของการทำ Basic Design ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนงานที่
วางไว้ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์และจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2 ปี
2551 ตามกำหนด   ทั้งนี้กำลังการผลิตโอเลฟินส์รวมภายหลังโครงการขยายกำลังการผลิตโรงโอเลฟินส์ 2
แล้วเสร็จจะเป็น  1,275,000 ตันต่อปี

6.2 โครงการขยายธุรกิจสู่ธุรกิจปลายน้ำ (Downstream Business)
    6.2.1 การเข้าซื้อหุ้น 50% ของบริษัท บางกอกโพลีเอททีลีน จำกัด (มหาชน) (BPE)
    บริษัทฯร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) ได้เข้าซื้อกิจการบริษัท บางกอกโพลีเอท
ทีลีน จำกัด (มหาชน) (BPE) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นที่ 50:50 ซึ่งได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว โดย
ปัจจุบัน BPE มีกำลังการผลิต HDPE เพิ่มขึ้นจาก 200,000 ตันต่อปีเป็น 225,000 ตันต่อปีและจะขยายกำลัง
การผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 250,000 ตันต่อปีในไตรมาส 4 ปี 2548 ซึ่ง BPE เป็นผู้รับซื้อเอทิลีนรายใหญ่ของ
บริษัทฯ ในการเข้าซื้อหุ้น BPE ทำให้บริษัทฯขยายการลงทุนสู่ธุรกิจปลายน้ำ เป็นการสร้างผลกำไรต่อเนื่อง
จากธุรกิจต้นน้ำสู่ธุรกิจปลายน้ำ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ

    6.2.2 โครงการโรงผลิต Ethylene Oxide / Ethylene Glycol 1 (EO/EG I Project)
    บริษัทฯได้เพิ่มทุนจดทะเบียนในบริษัท ทีโอซี ไกลคอล จำกัด จากเดิม 4,515 ล้านบาทมาเป็น
5,395 ล้านบาทเพื่อสร้างหน่วยผลิตสาร Ethylene Oxide (EO) เพิ่มเติมนอกเหนือจากแผนเดิมที่จะผลิต
ผลิตภัณฑ์ Mono Ethylene Glycol (MEG) โดยสาร EO ดังกล่าวนี้จะใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับโครงการ EO
Derivatives ซึ่งได้แก่โครงการผลิตสาร Ethoxylates, โครงการผลิตสาร Ethanolamines, และ
โครงการผลิตสาร Choline Chloride ปัจจุบันโครงการ EO/EG 1 มีความก้าวหน้าในการก่อสร้างและ
ดำเนินงาน ทั้งนี้บริษัทฯคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2549
ตามกำหนด
 
    6.2.3 โครงการโรงผลิต Ethylene Oxide / Ethylene Glycol 2 (EO/EG II Project)
    บริษัทฯได้ดำเนินโครงการ EO/EG 2 เพื่อรองรับความต้องการของประเทศที่เพิ่มขึ้นของ
ผลิตภัณฑ์ MEG โดยปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของการทำ Basic Design ทั้งนี้บริษัทฯคาดว่าจะสามารถเริ่ม
ดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2551 ตามกำหนด

    6.2.4 โครงการผลิตสาร Ethoxylates
    บริษัทฯได้ร่วมลงทุนกับบริษัท Cognis Thai Limited (Cognis) จัดตั้งบริษัท ไทยอีทอกซีเลท จำกัด
 (Thai Ethoxylate Co.,Ltd.) โดยมีสัดส่วนการถือหุ้น 50:50 และมีทุนจดทะเบียน 420 ล้านบาท
ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินโครงการผลิตสาร Fatty Alcohol Ethoxylates ที่กำลังการผลิต
50,000 ตันต่อปี ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำหรับนำไปใช้ในการผลิตสินค้าประเภทแชมพู สบู่เหลว น้ำยาล้างจาน
น้ำยาซักล้างทั้งในครัวเรือนและอุตสาหกรรม โดยในประเทศไทยยังไม่มีผู้ผลิตสารนี้ แต่มีฐานการผลิตสินค้า
ในกลุ่มนี้จำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันต้องนำเข้าวัตถุดิบทั้งหมด นอกจากนั้นอัตราการขยายตัวของความต้องการ
ทั้งในประเทศและในเอเชียก็อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4 ปี 2549

    6.2.5 โครงการผลิตสาร Ethanolamines
    ผลิตภัณฑ์หลักของโครงการนี้คือ Ethanolamines ที่กำลังการผลิต 50,000 ตันต่อปี ซึ่งเป็น
ผลิตภัณฑ์ที่มีการขยายตัวของความต้องการในเอเชียสูงถึง 14% ต่อปีในขณะที่กำลังการผลิตมีจำกัดซึ่ง
โครงการจะรับวัตถุดิบสาร EO จากโครงการ EO/EG โดยสาร Ethanolamines สามารถนำไปใช้ในหลาย
อุตสาหกรรมได้แก่ส่วนประกอบในครีมนวดผม, น้ำยาปรับผ้านุ่ม, เครื่องสำอาง และอุตสาหกรรมยา เป็น
ต้น ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1 ปี 2550

    6.2.6 โครงการผลิตสาร Choline Chloride
    ผลิตภัณฑ์หลักของโครงการนี้คือ Choline Chloride ที่กำลังการผลิต 20,000 ตันต่อปี ซึ่งเป็น
สารอาหารที่ใช้ผสมในอาหารของสัตว์ปีก และสุกร ซึ่งประเทศไทยต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ทั้งนี้
ประเทศไทยเป็นแหล่งที่มีการเลี้ยงไก่เป็นอันดับ 2 ของโลก และประเทศในกลุ่มอาเซียน (ASEAN) มีการ
เลี้ยงไก่และสุกรเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงมีตลาดรองรับทั้งในประเทศ และประเทศในกลุ่มอาเซียน ทั้งนี้
คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 1 ปี 2550

    6.2.7 การเข้าลงทุน 20% ในบริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน)
    บริษัทฯจะซื้อหุ้นจาก บริษัท วีนิไทย จำกัด (มหาชน) (VNT) ตามเงื่อนไขของ Warrant คิด
เป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ภายหลังการเพิ่มทุนของ VNT ภายในปี 2548 นี้  ปัจจุบัน VNT มีกำลังการผลิต
VCM 200,000 ตันต่อปีและ PVC 210,000 ตันต่อปีในปัจจุบันและจะขยายกำลังการผลิต VCM เพิ่มขึ้นอีก
200,000 ตันต่อปีในปี 2549

    6.2.8 โครงการร่วมทุนผลิตฟีนอล
    บริษัทฯร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT), บริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
(NPC), และบริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ATC) ได้จดทะเบียนก่อตั้งบริษัท พีทีที
ฟีนอล จำกัดแล้วในวันที่ 7 เม.ย. 2547 ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯคิดเป็นจำนวน 20% โดยคาดว่าจะ
สามารถเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 2 ปี 2550 ตามแผนงาน
 
    6.2.9 โครงการร่วมทุน Central Utilities
    บริษัทฯร่วมกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (PTT), บริษัท ปิโตรเคมีแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
(NPC), และบริษัท อะโรเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (ATC) ได้จดทะเบียนก่อตั้งบริษัท พีทีที
ยูทิลิตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อการดำเนินโครงการร่วมผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ (Central Utilities)
ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯคิดเป็นจำนวน 20% เป็นเงินลงทุนในส่วนของบริษัทฯรวม 322 ล้านบาท
โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2549 สำหรับโครงการระยะที่ 1 และปี 2550
สำหรับโครงการระยะที่ 2 ตามแผนงานที่วางไว้